วิธีเลือกขนาดถังเก็บน้ำเพื่อใช้ในบ้าน

เคยมีประสบการณ์ตรงต่อการที่น้ำไม่ไหลกันหรือไม่ ส่วนใหญ่ก็น่าจะมาจากการซ่อมท่อประปาของระบบประปาและระบบสุขาภิบาล ถ้าโชคดีเราก็อาจจะได้รับการแจ้งเวลาของการงดใช้น้ำชั่วคราว แต่ถ้าอยู่ดีๆ ตื่นนอนมาจะเข้าห้องน้ำ จะอาบน้ำเพื่อไปทำงาน หรือทำธุระข้างนอกก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าหัวเสียน่าดู ซึ่งปัญหานี้สามารถป้องกันและแก้ไขได้โดยการลงทุนเพียงสักนิด เพื่อซื้อถังเก็บน้ำไว้สำรองใช้ยามฉุกเฉิน แล้วรู้กันหรือไม่ ว่าเราควรใช้ถังเก็บน้ำแบบไหนถึงจะเหมาะสมกับบ้านของเรา

โดยปกติการวางถังเก็บน้ำจะมีอยู่ 2 แบบหลักๆ คือ ถังเก็บน้ำใต้ดินและถังเก็บน้ำบนดิน ซึ่งข้อแตกต่างของถังเก็บน้ำทั้งสองประเภทก็คือ ถังเก็บน้ำใต้ดินเหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่จำกัด หรือต้องการให้บ้านมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม ไม่ต้องมีวัตถุชิ้นใหญ่มาวางรุงรังเปลืองเนื้อที่ใช้สอยของบ้าน แต่ก็จะมีความยุ่งยากในการติดตั้ง เนื่องจากต้องมีการฝังฐานรากของเสาเข็มเพื่อให้มีความแข็งแรง ซึ่งค่าบำรุงรักษาก็ย่อมสูงตามมาแน่นอน ส่วนถังเก็บน้ำบนดินก็จะตรงกันข้ามกับถังเก็บน้ำใต้ดิน คือ มีความเกะกะรุงรังและเปลืองเนื้อที่ใช้สอยของบ้าน แต่การติดตั้งและการบำรุงรักษาถือว่าไม่ใช่ปัญหาสำหรับถังเก็บน้ำแบบนี้แน่นอน

สำหรับขนาดของถังเก็บน้ำที่เหมาะสมนั้น ต้องอิงกับปริมาณการใช้น้ำของสมาชิกภายในบ้าน ซึ่งโดยปกติเราจะใช้น้ำต่อคนโดยเฉลี่ย 200 ลิตรต่อวัน ดังนั้นจึงสามารถนำตัวเลข 200 นี้ไปคูณกับสมาชิกภายในบ้าน

ยกตัวอย่างเช่น บ้านเรามีคนอยู่ทั้งหมด 5 คน ก็เท่ากับว่าต้องซื้อถังเก็บน้ำประมาณ 200 x 5 = 1,000 ลิตร

หากคิดการณ์ไกล อยากสำรองน้ำไว้ใช้ฉุกเฉินมากกว่าหนึ่งวัน ก็นำจำนวนตัวเลขที่คิดได้เมื่อสักครู่ คูณกับจำนวนวันที่ต้องการ เช่น ต้องการสำรองน้ำไว้ใช้ 2 วัน ก็เท่ากับว่าต้องซื้อถังเก็บน้ำประมาณ 1,000 x 2 = 2,000 ลิตร นั่นเอง

ทั้งนี้ จากข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลปริมาณการใช้น้ำโดยเฉลี่ยต่อคนในแต่วัน ซึ่งบางคนอาจใช้น้ำมากกว่าหรือน้อยกว่า 200 ลิตร ได้ ดังนั้นเราสามารถนำค่าประมาณของปริมาณถังเก็บน้ำโดยเฉลี่ยนี้ มาเพิ่มหรือลดขนาดถังเก็บน้ำ ได้ตามปริมาณการใช้งานของผู้อยู่อาศัย

ให้มืออาชีพช่วยคุณ

ติดต่อรับคำปรึกษาหรือ ติดตามข้อมูลที่มีประโยชน์จาก FIRM


Leave a Reply